ว่าด้วยเรื่องคดีก่อสร้าง เมื่อสมัยยังฝึกงานกับสำนักงานทนายความของผู้ใหญ่ที่เราให้ความเคารพท่านนึง ผู้เขียนได้ไปช่วยในส่วนของคดีก่อสร้าง ซึ่งเป็นคดีที่ผู้รับเหมาได้ฟ้องเจ้าของงาน ว่าจ่ายเงินงวดตามสัญญาไม่ครบ และยังไม่ได้ชำระเงินในส่วนของงานเพิ่มเติมให้ด้วย ซึ่งมีทุนทรัพย์หลายล้านบาท ผู้เขียนเองได้ไปอยู่ในฝั่งของจำเลย จึงได้เข้าไปตรวจสอบตึก และมอบหมายให้รุ่นน้องท่านนึง ได้ช่วยจัดทำรายงานการตรวจสภาพตึก โดยได้ทำแบบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพราะสภาพตึกในขณะที่โดนฟ้องนั้น ไม่ตรงตามแบบที่ได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้าง และได้ตกลงทำสัญญากันทั้งสองฝ่าย โดยการตรวจสอบตึกดังกล่าวนั้น ยังรวมถึงการประมาณราคางานที่ได้ทำไปแล้ว และงานที่ยังคงค้างอยู่ โดยนำราคาตามสัญญาว่าจ้างมาประกอบกับปริมาณงานที่คิดใหม่ จัดทำเป็นบัญชีปริมาณงานขึ้นมา เพื่อทำเป็นรายงานเพื่อยื่นประกอบเป็นพยานเอกสาร สำหรับใช้ในการสืบพยานราคาที่ทั้งสองฝ่ายยังตกลงกันไม่ได้
เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลแล้ว ทั้งทางฝ่ายโจทก์ และจำเลยต่างนำข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายมาหักล้างกัน แต่ทางศาลซึ่งเป็นผู้นั่งพิจารณาคดี ท่านก็ได้ไกล่เกลี่ย และหาทางออกให้เป็นอย่างดี ทางผู้เขียนเองได้ให้ความเห็นต่อศาล ขอให้ศาลได้อนุญาตให้ทางคนกลางที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ เข้ามาช่วยถอดแบบประมาณราคาในคดีพิพาทนี้ โดยต้องเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ และยอมรับกันทั้ง 2 ฝ่าย ศาลจึงได้ถามทั้งโจทก์ และจำเลย ปรากฏว่าทั้งคู่ต่างยอมที่จะให้มีองค์กรกลาง เพื่อมาทำราคากลางในอาคารพิพาทดังกล่าว
ต่อมา เมื่อทางคนกลางได้จัดทำราคากลาง เรียบร้อยแล้ว ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดี ก็ได้นำเอกสารดังกล่าวมาใช้ในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท โดยถือเอาราคาที่ยังขาดอยู่ หรือการส่งมอบงานที่ยังไม่ครบ นำมาใช้เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงโอนอ่อนผ่อนผันกัน ในระยะเวลาที่ไม่นานนัก
ดังนั้น ในแต่ละคดีที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ย่อมขึ้นอยู่กับว่าทั้งสองฝ่ายต้องการอะไรเป็นสำคัญ และพยานฝ่ายใดที่มีเหตุผล และแนวโน้มของคดีเป็นอย่างๆร ตลอดจนจะหาทางออกร่วมกันได้อย่างไร เพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดในศาล ข้อนี้เป็นที่สำคัญ ซึ่งทนายทุกคนพึงนำมาใช้ในการต่อสู้คดีให้กับลูกความของต
ทค.สิรภพ โชติยาธนากูล